อาการปวดศีรษะที่เรียกว่า “ไมเกรน” คืออาการปวดศีรษะแบบปวดข้างเดียว หรือปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้างและบางครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่ง แต่บางครั้งอาจจะปวดพร้อมกันทั้งสองข้าง อาจเริ่มมาจากอาการปวดคอ บ่า ไหล่ ก่อนแล้วจึงค่อยๆพัฒนาปวดร้าวตามลำดับ เป็นอีกโรคที่เป็นอันตรายมากกว่าที่เราคิด เพราะอาการของโรคอาจเหมือนไม่ได้ส่งผลรุนแรง และเกิดขึ้นจนเป็นปกติ แต่จริงๆแล้วมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากทีเดียว โดยส่วนใหญ่พบในไว้ทำงานที่มีความเครียดและเสียสุขภาพจิต
ไมเกรน เกิดจากอะไร
เกิดจากความผิดปกติชั่วคราวของระดับสารเคมีในสมอง ทำให้ก้านสมองถูกกระตุ้น หลอดเลือดในเยื่อหุ้มสมองมีการบีบและคลายตัวมากกว่าปกติ เกิดอาการปวดศีรษะตุ๊บ ๆ หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียน แพ้แสง จากก้านสมองที่ถูกกระตุ้น
อาการที่มักเกิดจากปวดไมเกรน
- ปวดหัวตุ๊บ ๆ บริเวณขมับ อาจปวดร้าวมาที่กระบอกตาหรือท้ายทอย และปวดหัวข้างเดียว (บางรายอาจพบว่าปวดหัวทั้งสองข้าง)
- อาการคลื่นไส้อาเจียน
- อาการแพ้แสงแพ้เสียง
- ปวดหัวเป็นครั้งคราว บางครั้งก็สัมพันธ์กับรอบเดือน
- บางครั้งมีอาการมองเห็นผิดปกตินำ โดยมีอาการนำก่อนปวดศรีษะราม 20 – 30 นาที เช่น เห็นแสงวูบวาบหรือเป็นเส้นๆ ไฟระยิบระยับ เห็นภาพเบลอ เป็นต้น
พฤติกรรมที่มีผลต่อไมเกรน
- นอนหลับไม่เพียงพอ
- ขาดการพักผ่อนหรือทำงานหนักเกินไป (ออฟฟิศซินโดรม)
- ภาวะเครียด
- กินข้าวไม่ตรงเวลา กินข้าวไม่ครบมื้อ
- กินอาหารบางประเภทมากเกินไป เช่น กล้วยหอม เนยแข็งและช็อกโกแลต
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป
- อยู่ในที่ ที่มีแสงจ้าเป็นเวลานาน
- การสูบบุหรี่
ไมเกรนจะแบ่งได้เป็น 4 ระยะ
1.ระยะก่อนมีอาการ (Prodrome)
มักจะมีอาการบอกเหตุประมาณ 1 – 2 วันก่อนมีอาการปวดศีรษะ เช่น ปวดตึงตามต้นคอ อารมณ์แปรปรวน ควบคุมการหาวไม่ได้ บวมน้ำหรือปัสสาวะบ่อย เป็นต้น
2.ระยะอาการนำ (Aura)
ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นแสงระยิบระยับ เห็นแสงไฟสีขาวมีขอบหยึกหยัก หรือภาพเบลอหรือบิดเบี้ยว แต่บางรายก็ไม่มีอาการเตือนนำหรือมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย
3.ระยะอาการปวดศีรษะ (Headache)
เป็นเหมือนช่วงไคลแม็กซ์ของอาการปวดหัวไมเกรน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวตุ๊บ ๆ หรือปวดหัวข้างเดียว อาการค่อยๆเพิ่มความรุนแรงขึ้น จนไม่สามารทำงานได้ตามปกติ อาจเกิดร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน และจะแพ้ต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ เป็นพิเศษ เช่น แสงจ้า เสียงดัง
4.เข้าสู่ภาวะปกติ (Postdrome)
ภายหลังจากที่เริ่มหายปวดแล้ว ผู้ป่วยมักจะมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน เกิดอาการสับสน หรือไวต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ รู้สึกหมดแรง อ่อนแรง เหมือนระยะที่สาม
การรักษาอาการไมเกรน แบ่งเป็น 2 แบบ
1.บรรเทาโดยการใช้ยา
การใช้ยาบรรเทาอาการไมเกรน การรับประทานยาทันทีเมื่อมีอาการปวด จะช่วยให้ผลของยาในการบรรเทาอาการปวดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- ยาบรรเทาปวด สำหรับการปวดแบบไม่รุนแรง
- ยาบรรเทาปวด สำหรับการปวดที่รุนแรงมากขึ้น (จำเพาะเจาะจงกับการปวดศีรษะไมเกรน)
- ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน
การใช้ยาป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน
- กลุ่มยาลดความดัน
- กลุ่มยาต้านอาการซึมเศร้า
- กลุ่มยากันชัก
- กลุ่มยา Calcitonin gene-related peptide (CGRP) monoclonal antibodies
หมายเหตุ : การใช้ยาควรได้รับคำแนะนำและอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ในการจ่ายยา
2.บรรเทาโดยการกายภาพบำบัด
- การนวดผ่อนคลาย
- การกดจุดกดเจ็บเพื่อลดอาการร้าว
- การประคบเย็น หากมีอาการปวด บวม แดง ร้อน
- การประคบร้อน
- การดัดดึงข้อต่อบริเวณคอ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของกระดูก
การป้องกันการปวดไมเกรน
- ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรน
- นอนพักในที่มืดและเงียบสงบ
- เพิ่มกลิ่นหอมเพื่อให้นอนหลับสบายและเต็มอิ่มมากขึ้น
- ปรับพฤติกรรมการนอน และการรับประทานอาหาร
- ออกกำลังกายและยืดกล้ามคออย่างสม่ำเสมอ
นอกจากการป้องกันที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้นยังมีอีกหนึ่งไอเท็มที่ช่วยลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และทำให้ร่างกายนอนหลับได้สบายขึ้นนั้นก็คือ หมอนยางพาราแท้ 100% PATEX ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับสรีระของทุกรูปแบบและยังมีเทคโนโลยี Nano Zinc Oxide ที่อยู่ในหมอน ทำให้ป้องกันไรฝุ่นและแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ต่างๆ ทำให้ร่างกายลดความเครียดและกลับมาสดใสจากการนอน