หลายคนอาจเคยได้ยินว่า ที่นอนมีอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 7-10 ปี เมื่อถึงช่วงเวลานี้จึงควรเปลี่ยนเป็นที่นอนใหม่ ซึ่งนั่นก็อาจใช่ แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้ว เราไม่ควรพิจารณาแค่อายุการใช้งานเพียงอย่างเดียว เพราะหากที่นอนของคุณยังใช้งานได้ไม่นาน แต่กลับเห็น 8 สัญญาณต่อไปนี้ นั่นก็แปลว่า ถึงเวลาเปลี่ยนที่นอนแล้วเช่นกัน
8 สัญญาณที่บอกว่าได้เวลาเปลี่ยนที่นอนแล้ว
1. ที่นอนเสื่อมสภาพ
- สังเกตว่าฟูกที่นอนยุบตัวลงไปเยอะกว่าตอนซื้อมาใหม่ ๆ
- เจอแอ่งหลุมตรงกลางหรือบริเวณมุม
- ผิวของเตียงนอนเป็นตะปุ่มตะป่ำ หรือมีก้อนแข็งอยู่ข้างใต้
- ไม่มีความไม่สมมาตร บริเวณหนึ่งสูง อีกบริเวณต่ำกว่า หรืออีกจุดแข็งเป็นหิน อีกจุดกลับอ่อนนุ่มเหมือนสำลี
2. มีเสียงรบกวน
ส่วนใหญ่มักเกิดกับที่นอนประเภทสปริง เพราะเมื่อใช้ไปนาน ๆ ขดลวดด้านในย่อมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา หากซื้อแบบที่มีราคาถูกมาก ๆ คุณภาพไม่ดี ทุกครั้งที่ล้มตัวนอนหรือพลิกตัวกลางดึก คุณอาจต้องทนฟังเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปทั้งคืน
3. บริเวณขอบหรือผิวชั้นนอกขาดหลุดลุ่ย
หากที่นอนยังมีผิวสัมผัสเรียบเนียน นุ่มแน่น แต่ผ้าหุ้มชั้นนอกกลับขาดกระจุย ก็เสี่ยงที่วัสดุข้างใต้จะเล็ดลอดออกมาจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะใครที่ใช้ที่นอนฟองน้ำอัดคุณภาพไม่ดีที่ผสมวัสดุหลากหลาย อาจเจอเศษฟองน้ำที่เป็นสารเคมีหรือขุยมะพร้าวฟุ้งกระจาย ทำให้ไอจามไม่หยุดหรืออาการภูมิแพ้กำเริบได้
4. นอนที่อื่นแล้วสบายกว่า
ถ้าหากคุณเป็นคนที่สุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพจิตแจ่มใส แต่ล้มตัวบนเตียงนอนทีไรรู้สึกนอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือใช้เวลานานเป็นชั่วโมงถึงจะหลับได้ แต่พอไปนอนบนโซฟากลับหลับสบายตลอดคืน นี่ก็อาจเป็นไปได้ว่าที่นอนที่ใช้อยู่ต้องมีบางอย่างที่ผิดปกติหรือไม่เหมาะกับคุณอีกต่อไป
5. เจออาการปวดเมื่อย ปวดหลัง
คุณเจอปัญหาปวดหลัง ปวดคอ หรือปวดเมื่อยไปทั้งตัวทุกครั้งที่ตื่นนอน ทั้ง ๆ ที่พยายามจัดท่าทางยืน เดิน นั่ง นอนให้ถูกต้องแล้ว หรือคนที่มีอาการปวดเมื่อยจากการเป็นออฟฟิศซินโดรม ต้องเจอความทรมานเพิ่มขึ้นขณะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน บางคนอาจพบว่านอนแล้วเลือดไหลเวียนไม่ดีจนมีอาการชาร่วมด้วย สาเหตุหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเตียงนอนของคุณไม่สามารถรองรับร่างกายตามหลักสรีรศาสตร์นั่นเอง
6. อาการภูมิแพ้เล่นงาน
หากคุณตื่นมาแล้วเจออาการไอจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล รวมถึงคันตาแทบทุกเช้า นั่นอาจเป็นเพราะคุณโดนสารก่อภูมิแพ้อย่างไรฝุ่นบนที่นอนจู่โจม เพราะที่นอนที่คุณใช้อาจไม่มีคุณสมบัติป้องกันไรฝุ่นได้ดีพอ เมื่อใช้ไปนาน ๆ ไรฝุ่นจึงสะสมตัวกันจนทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบได้
7. นอนแล้วร้อน
ออกไปข้างนอกก็ต้องผจญกับแสงแดดเมืองไทยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น อย่าทนต่อไปถ้าพบว่าที่นอนของคุณไม่มีการระบายอากาศที่ดี จนทำให้คุณต้องนอนหลับในสภาพเหงื่อชุ่ม ซึ่งนอกจากจะไม่สบายตัวแล้ว อาจก่อให้เกิดการอับชื้นและเกิดเชื้อราขึ้นบนที่นอนได้ ดังนั้นควรมองหาที่นอนเกรดพรีเมียมที่มีคุณสมบัติระบายความร้อน ลดการอับชื้น เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเย็นสบายทุกคืน
8. เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ทำให้คุณควรเปลี่ยนที่นอนใหม่ เช่น
- น้ำหนักมากขึ้น น้ำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน หรือกำลังตั้งครรภ์ ควรเปลี่ยนเตียงนอนให้มีการออกแบบที่รองรับแผ่นหลังของคุณได้อย่างดี เพราะไม่อย่างนั้นกล้ามเนื้อช่วงหลังจะต้องเกร็งตัวมาก แทนที่จะได้พักผ่อนจากการมีที่นอนดี ๆ ช่วยประคองตัวไว้ และอาจเกิดอาการปวดหลังได้
- ต้องนอนร่วมกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนโสดที่กลายเป็นคนมีคู่ หรือคนที่ต้องนอนร่วมกับเพื่อนหรือญาติพี่น้อง อาจต้องมองหาขนาดที่นอนใหม่ พร้อมกับเลือกเตียงที่มีคุณสมบัติคลายร้อน จะได้ไม่รู้สึกอึดอัด
- ต้องนอนร่วมเตียงกับคนนอนละเมอ ชอบพลิกตัวบ่อยจนคุณสะดุ้งตื่นตลอด ควรเปลี่ยนเป็นที่นอนกันแรงสั่นสะเทือน โดยเฉพาะคู่รัก หากไม่รีบเปลี่ยน อาจเสี่ยงนอนไม่พอจนส่งผลต่อเรื่องบนเตียงได้เลย
- เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เช่น เป็นคนรักสวยงามรักงามมากขึ้น กลัวหน้าและตัวเป็นสิว ก็ควรหันมาใช้ที่นอนกันไรฝุ่น พร้อมกับมีหมอนกันสิวไปด้วย หรือหันมาเป็นสาย eco-friendly รักธรรมชาติ อยากลดการใช้สารเคมี ก็หันมาใช้ที่นอนที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติแทน
- มีปัญหาสุขถาพ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านอาการปวดหลัง หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แผลกดทับ ก็ควรเปลี่ยนมาใช้ที่นอนเพื่อสุขภาพก่อนสายเกินแก้
- เปลี่ยนสไตล์ห้องนอนใหม่ อาจเป็นแนวโมเดิร์นทันสมัย ห้องสไตล์ญี่ปุ่น หรือชอบแบบโรมแรมหรูห้าดาว อาจหาเตียงนอนรุ่นใหม่แบบมีนวัตกรรมเสริมมาประดับห้องให้ดูเข้าธีมมากขึ้น พร้อมกับปรับฮวงจุ้ยห้องนอนสักหน่อย ก็จะได้ห้องใหม่ที่ดูน่านอนมากขึ้น
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังสนใจเปลี่ยนที่นอน อย่าลืมเช็กข้อมูลเรื่องประเภทของที่นอนและขนาดที่นอนด้วย เพื่อให้คุณและคนร่วมเตียงมีความสุขที่สุด และได้ประโยชน์จากการนอนอย่างเต็มที่